เที่ยว "เขาสก" ความงดงามแห่งขุนเขาและสายหมอก
เขื่อนเชี่ยวหลาน อุทยานแห่งชาติเขาสก ชื่อสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ยังคงย้ำเตือนอยู่ในความทรงจำอยู่หลายปี ซักวันหนึ่งจะไปชมความงดงามและความอลังการของขุนเขาที่ได้ชื่อ ว่า กุ้ยหลินเมืองไทย ให้ได้ซักครั้ง จะงดงามสมกับที่ร่ำลือเพียงใดตามมาชมกันค่ะ
และเนื่องจากเราเน้นไปชมไฮไลต์ คือ ล่องเรือชมกุ้ยหลินเมืองไทย เน้นนอนแพ สัมผัสธรรมชาติ ไม่ได้ค้างที่รีสอร์ท จึงใช้เวลาเพียงสั้นๆแค่ 2 วัน 1 คืน ออกเดินทางวันศุกร์ตอนกลางคืน ถึงเขื่อนเชียวหลานประมาณเช้าวันเสาร์ ก่อนไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ ก็แวะไปชมวิวที่เขื่อนเชี่ยวหลาน กันซักหน่อย เช้าวันนี้มีฝนตกมาตลอดอากาศครึ้มมาก
ถนนสายนี้สวยงามคุ้นตาถ้าจำไม่ผิดน่าจะเคยถ่ายหนังหรือโฆษณามาหลายชุด ต้องทำความใจกันนิดหนึ่งค่ะ อุทยานแห่งชาติเขาสกจะแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือ บริเวณที่เรียกว่า เขาสก ซึ่งนิยมไปเดินป่า ดูดอกบัวผุด และ เขื่อนเชียวหลาน ซึ่งเรียกว่า กุ้ยหลิน เมืองไทย อยู่ห่างกันประมาณ 20 กว่ากิโล แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเรียกพื้นที่ เขื่อนเชี่ยวหลาน ว่า เขาสก เช่นกัน
ติดต่อกับทางแพ ให้จัดเรือมารับ ค่าเรือไปกลับ 2200 บาท รวมชมกุ้ยหลินเมืองไทยด้วย ราคาค่าเรือจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความใกล้ ไกล ของแพที่พัก จะอยู่ที่ 1500 – 2000 บาท แพเอกชนที่เขื่อนเขี่ยวหลาน มีให้เลือกหลายเจ้าราคาใกล้เคียงกัน แต่เราเลือกพักที่แพสายชล เนื่องจากเคยเห็นรีวิวของเพื่อน พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าส่องกระทบมาที่แพ พอดี สวยงามเป๊ะ นั่งเรือหลบฝน แห้งบ้างเปียกบ้าง ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึง แพสายชล
บรรยากาศของแพที่พัก เรียงรายกันขนานไปกับหุบเขา อากาศก็เย็นด้วยไอฝนไม่ร้อนมาก ค่าที่พักคิดราคาหัวละ 600 บาท รวมอาหาร 3 มื้อ คือ กลางวัน เช้า เย็น อาหารส่วนใหญ่เป็นผัดผัก แกงส้ม เมนูพื้นบ้านง่ายๆ เติมได้ไม่อั้นกินจนอิ่ม เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพอาหารมาใช้ชมเพราะแต่ละมื้อ หิวและฟาดเรียบไปซะก่อน แต่ confirm ว่าอาหารอร่อยทุกมื้อ มื้อเย็นมีปลาทอดตัวโตด้วยแต่เฉพาะเมนูนี้เติมไม่ได้น่ะค่ะ
ถึงเวลาของกลุ่มเราแล้ว นั่งแพมาเพียง 3 นาที ก็ถึง ถ้ำปะการัง เดินขึ้นไปอีกนิดหน่อย ก็จะถึงบริเวณปากทางเข้าถ้ำ
ข้างในถ้ำปะการังก็จะมีหินงอก หินย้อย หลายรูปแบบซึ่งลักษณะจะคล้ายกับปะการังในทะเล จึงเป็นที่มาของชื่อ ถ้ำปะการัง นั่นเอง คุณลุงคนขับเรือส่องไฟพาพวกเราชมถ้ำ พร้อมอธิบายถึงหน้าตาของหินแต่ละแบบ ซึ่งแล้วแต่จินตนาการของเราจะมอง เริ่มจากหินก้อนนี้ เรียกว่า หินผ้าม่าน มีความใสแวววาวด้วย
ก้อนนี้คุณลุงเรียก ตรงตามชื่อถ้ำว่า หินปะการัง
หินก้อนนี้ลองจินตนาการดูคล้ายกับเศียรช้างเอราวัณ ที่รวมกันๆ หลายเศียร
และมาถึงบริเวณที่คุณลุงบอกว่าเป็นไฮไลต์ คือ หินเหล็กไหลศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าถ้าขอพรเรื่องโชคลาภ และการเงิน จะสมหวัง และหากใครมาเรียงหิน ที่อยู่บริเวณนั้น จะเรียงกี่ก้อนก็ได้เป็นเลขคี่แล้วขอพรเรื่องความรักก็จะสมหวังเช่นกัน
กลับจากถ้ำปะการัง ก็เย็นแล้ว เล่นน้ำ พายเรือ พักผ่อน มาเจอเช้าวันใหม่ ที่อากาศค่อนข้างสดใส หลังจากที่เเมื่อวานฝนตกมาตลอดทั้งวัน โชคดีของเราดีแท้ อย่างน้อยก้ได้อากาศดีๆมาหนึ่งวันในวันกลับ
เก็บข้าวของสัมภาระ นั่งเรือไปชมภูเขา บริเวณที่เรียกว่า กุ้ยหลิน เมืองไทย พระอาทิตย์สาดส่องระหว่างทาง
นั่งเรือไปก็ชมวิวและความงดงามของทิวเขาไป เพลินดีค่ะ
เข้าใกล้ไปยังภูเขาหินที่คุณลุงคนขับเรือ อธิบายว่า ภาพรวมทั้งหมดของภูเขาหินบริวณนี้แหละค่ะ ที่มีลักษณะคล้าย กุ้ยหลินของเมืองจีน ไม่เคยเห็นด้วยตาว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร แต่รู้ว่า ณ จุดนี้ วิวภูเขาที่เรียงรายซ้อนกัน ของเขื่อนรัชประภา ณ เมืองไทย สวยที่สุดแล้ว
ซักพักก็วนเรือมาชม เขาสามเกลอ ไฮไลต์ อีกจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะของภูเขาหินเรียงรายอยู่กลางน้ำ 3 ลูก
ที่มา : paiduaykan.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น